Untitled Document
 
 
         
 
เบอร์ Line : 097-416-2619
 
   
     
     2 6 9 1 9 9
 
     เปลี่ยนชื่อค่าครู 1445(รับ 3 ชื่อ) เปลี่ยนนามสกุล 2000(รับ 2 นามสกุล) เบอร์ไลน์ 097-416-2619
Untitled Document
 เมนู
 หน้าแรก
 บริการลูกค้า
   เปลี่ยนชื่อ/ติดต่อเรา
   ตรวจชื่อพลังเงา
   พลังเงาซ้อน
   ตัวอย่างรีวิวลูกค้า
   ตัวอย่างรีวิวเบอร์โทร
   ฤกษ์มงคล/เขมร
   ต้องทำอย่างไรในวันเปลี่ยนชื่อ
   ตรวจสอบชื่อ,นามสกุล,บริษัท,
    ร้านค้า

   เลขศาสตร์ภาษาอังกฤษ
   ทักษา
   เลขศาสตร์
   อายตนะ6
 ดูดวง
   กราฟชีวิต
   พรหมชาติ
   ตรวจเช็คทะเบียนรถ
   ฮวงจุ้ยประยุกต์
   เช็คดวงซะตาดาวเสวยอายุ
     -  ท่านที่เกิดวันอาทิตย์
     -  ท่านที่เกิดวันจันทร์
     -  ท่านที่เกิดวันอังคาร
     -  ท่านที่เกิดวันพุธ
     -  ท่านที่เกิดวันพุธ กลางคืน
     -  ท่านที่เกิดพฤหัสบดี
     -  ท่านที่เกิดวันศุกร์
     -  ท่านที่เกิดวันเสาร์
   บทสวดมนต์ประจำวันเกิด
   บทสวดมนต์ประจำวันเกิด(ย่อ)
   ดูดวง 12 ราศี
   ทำนายวันเกิด, ชาตาประจำวัน
   กำเนิดวันทั้ง 7
   กำเนิดเดือนทั้ง 12
   กำเนิดปีทั้ง 12
   สมพงศ์เป็นมิตร เป็นศัตรูกัน
   สมพงศ์แต่งงาน
   สมพงศ์มหาสมบัติ
   สมพงศ์นาคคู่
   ตำรามหาฤกษ์
   การบูชาพระประจำวันเกิด
ประชาสัมพันธ์งานบุญ
   พลังเงา...พลังบุญ
   วิธีการไหว้พระราหู
   วิธีการเสริมดวงเกี่ยวกับชื่อ

ติดต่อ แอดไลน์ที่เบอร์นี้097-416-2619
คลิกที่นี่

https://line.me/ti/p/8HRPSRLUdN






 
 การบูชาพระประจำวันเกิด (วันอาทิตย์ – วันเสาร์)
    

การบูชาพระประจำวันเกิด(วันอาทิตย์ – วันเสาร์)

 
            โบราณท่านกล่าวว่า หากชายใดหญิงใด หรือบุคคลใดก็ตาม อยากได้ความเจริญรุ่ง ในการครองเรือน การใช้ชีวิต ควรจะมีพระประจำวันเกิดของตน ไว้บูชาประจำหิ้งที่บ้านของเอง ทุก ๆ คน โดย พระพุทธประวันเกิดนั้น ท่านเกจิอาจารย์ผู้รู้โบราณได้กำหนดไว้ตามลักษณะของวันทั้ง 7 ใน 1 รอบสัปดาห์โดยจะมีการอธิบายดังต่อไปนี้

ผู้เกิดวันอาทิตย์                มีพระประจำวันคือ           พระปางถวายเนตร
ผู้เกิดวันจันทร์                  มีพระประจำวันคือ           พระปางห้ามญาติ หรือห้ามสมุทร
ผู้เกิดวันอังคาร                 มีพระประจำวันคือ           พระปางไสยาสน์
ผู้เกิดวันพุธ(กลางวัน)        มีพระประจำวันคือ           พระปางอุ้มบาตร
ผู้เกิดวันพุธ(กลางคืน)       มีพระประจำวันคือ           พระปางสะดุ้งมาร(มารวิชัย),พระป่าเลไลย์  
ผู้เกิดวันพฤหัสบดี             มีพระประจำวันคือ           พระปางนั่งขัดสมาธิ
ผู้เกิดวันศุกร์                     มีพระประจำวันคือ           พระปางทรงรำพึง
ผู้เกิดวันเสาร์                    มีพระประจำวันคือ           พระปางนาคปรก

          พระประจำวันเกิดที่กล่าวมานั้นจะมีตำนานอยู่ ซึ่งตำนานของแต่ละรูปแต่ละองค์ก็จะต่างกันไปโดยจะมีการกล่าวถึงดังต่อไปนี้

 
 

1. วันอาทิตย์

 
 

          ท่านใดที่เกิดในวันอาทิตย์ ต้องการเสริมบารมี เสริมโชคลาภในชีวิตของตน โบราณท่านว่าให้ท่านที่เกิดในวันอาทิตย์นี้  บูชาพระพุทธรูปปางถวายเนตร และควรจะมีพระพุทธรูปปางถวายเนตรนี้อยู่ที่บ้าน อยู่บนหิ้งพระ อยู่ในเขตบ้านเรือนของตนเอง เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ศิริเจริญสมพูนผลได้ลาภยศสรรเสริญ และปราศจากโรคาพยาธินานัปการ
          พระพุทธรูปปางถวายเนตรเป็นพระพุทธรูปมีลักษณะท่าทางในการยืน และลืมตาทั้งสองข้าง มือทั้งสองช่วยประสานกันพระเพลา ด้วยเอามือขวาทับมือซ้ายพระพุทธรูปพระปางนี้เกิดขึ้นเมื่อ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ใน แคว้นควงไม้ศรีมหาโพธิ์พุทธคยา ท่านได้ตรัสรู้แล้ว องค์พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จเปลี่ยนอิริยาบถ โดยการประทับยืนทรงเพ่งพระเนตรดูพระโพธิบัลลังก์ ตลอดทั้งสัปดาห์จึงได้เป็นพระพุธนิมิตนามพระปางนี้ว่า“พระปางถวายเนตร”
          ท่านที่เกิดในวันอาทิตย์ โบราณกาลท่านว่ามีกำลังเท่ากับ 6 ดังนั้นจึงให้สวดภาวนาคาถาต่อไปนี้ กับ พระพุทธรูปปางถวายเนตร จำนวน 6 จบก่อนเข้านอน

คาถาบูชาพระปางถวายเนตร
          อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส ตังตัง นะมัสสามิ
          หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปะภาสัง ตะยัชชะคุตตา วิหะเรมุ ทิวะสัง เย พราหมะณา
          เวทะคุ สัพพะธัมเมเตเม นะโมเต จะมังปาละยันตุ นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา
          มะโมวิ มุตตานัง มะโมวิมุตติยา อิมังโส ปะริต ตังกัตะวา โมโร จะระติ เอสะนา ฯ
          อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโสตัง ตัง นะมัสสามิ
          หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ รัตติงเย พราหมะณา

          เวทะคุ สัพพะธัมเม เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ
          โพธิยา นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา อิมัง โส ปะริตตัง กัตวา โมโร วาสะมะกัปปะยีติ

คาถาบทนี้เป็นพระคาถาพระยานกยูงทองใช้ภาวนาเวลาเดินทาง ดังนั้นใช้ป้องกันศัตรูที่มาปองร้ายให้แคล้วคลาดดีนักแล
 
 

2.วันจันทร์

 
 

          หากท่านใดที่เกิดในวันจันทร์ ต้องการเสริมบารมีเสริมโชคลาภ ในชีวิตของตน โบราณท่านว่าให้ท่านที่เกิดในวันจันทร์นี้ ให้บูชา
พระพุทธรูปปางห้ามญาติ และควรจะมีพระพุทธรูปห้ามญาติ นี้อยู่ที่บ้าน อยู่บนหิ้งพระ อยู่ในเขตบ้านเรือนของตนเอง เพื่อความร่มเย็น
เป็นสุข สิริมงคลและลาภผลต่าง ๆ นา ๆ
          พระพุทธรูปปางห้ามญาตินี้เป็นพระรูปเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะท่าทางในการยืน มือซ้ายห้อยลงมาข้างลำตัว มือขวายกขึ้น
เสมออก แบฝ่ามือไปข้างหน้าเป็นพระอิริยาบถ แสดงลักษณะท่าทางรายการห้าม ให้หยุดการกระทำใดใดที่เป็นการชั่วร้าย
          ตำนานของ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ มีอยู่ว่าสมัยในหนึ่งกษัตริย์แห่งโกลิยวงศ์ ที่เป็นฝ่ายญาติกับกษัตริย์แห่งศากยวงค์ซึ่งเป็นฝ่ายบิดา พระมารดาของพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อถึงคลาวฤดูทำนาแล้วแต่ในปีนั้นฟ้าฝนแห้งแล้งมาก ต้องอาศัยน้ำจากแม่น้ำโรหิณี แล้วต่างฝ่ายก็เกณฑ์ไพร่ฟ้าประชาชนของตนเอง ทำการทดน้ำเข้าไปยังที่นาตน จนเกินการการทะเลาะวิวาทกันขึ้น ในเรื่องแย่งน้ำ และไม่มีใครยอมใคร ไม่มีทางอื่นใดตกลงกันได้ด้วยสันติวิธี จนใกล้จะทำสงครามกันเต็มที่ และแล้วกษัตริย์แห่งราชวงศ์ทั้งสองนี้ เกือบจะได้ยกกองทัพหลวงมาทำสงครามกันในวันรุ่งขึ้น แต่ในขณะนั้นเป็นเวลาใกล้รุ่ง พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเล็งญาณ ตรวจดูสัตว์โลก เพื่อที่จะทำการโปรด ต่าง ๆ และในครั้งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการที่จะโปรดเหล่าญาติญาติของท่าน พระองค์ได้จินตนาการว่า “ถ้าเราตถาคต ไม่ไปห้ามปรามแล้ว  การพี่น้องคงถึงความพินาศกันเป็นแน่ “
ด้วยเหตุนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้เสด็จไป หน้าที่ที่ฝ่ายหมู่ญาติทั้งสองกำลังจะทำสงครามกัน
พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปถึงญาติทั้งสองฝ่ายในเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้วางสลับอาวุธ ต่าง ๆ นานาที่นำมาจะทำสงครามกัน แล้วเข้าไปกราบถวายบังคมองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
          องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าจึง “พวกท่านทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร” เหล่าประยูรญาติของท่านและให้คำตอบว่าเรื่องน้ำ เพราะว่าในปีนี้น้ำแล้ง ต้องมีการแย่งน้ำกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสถานต่อไปว่า น้ำนั้นกับกษัตริย์ค่ามากกว่ากัน ซึ่งคำตอบก็เป็นมือ
ท่านผู้อ่านคิดกันไว้อยู่แล้วนั่นคือกษัตริย์สำคัญและมีค่ามากกว่าน้ำ มันจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับคำตอบเช่นนั้นแล้ว พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้แสดงธรรมเทศนา เท่ากับกษัตริย์ทั้งสองพระองค์มารักใคร่ปรองดองกันเช่นเดิม หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้เสด็จกลับที่พำนักนักของพระองค์ เท่านั้น และนี่จึงเป็นที่มาของพระพุทธรูปห้ามญาติหรือปางห้ามสมุทร
          วันจันทร์ โบราณกาลท่านว่ามีกำลังเท่ากับ 15 ให้สวดภาวนาคาถาต่อไปนี้กับ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ให้ได้ 15 จบก่อนนอน

คาถาบูชาพระพุทธรูปปางห้ามญาติ
          ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนา โป สะกุณัสสะ
          สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธา นุภาเวนะ วินาสะเมนตุ
          ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนา โป สะกุณัสสะ
          สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง ธัมมา นุภาเวนะ วินาสะเมนตุ
          ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนา โป สะกุณัสสะ
          สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง สังฆา นุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

คาถาบทนี้เป็นพระคาถาที่ใช้เจริญภาวนาแก้ฝันร้ายหรือขวัญเสียได้ดี ศักดิ์สิทธิ์ นักแล

 
 

3.วันอังคาร

 
 

          หากท่านใดที่เกิดในวันอังคาร ต้องการเสริมบาร มีเสริมโชคลาภในชีวิตของตน โบราณท่านว่าให้ท่านที่เกิดในวันอังคารนี้
บูชาพระพุทธรูป ปางไสยาสน์  และควรจะมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ นี้อยู่ที่บ้าน อยู่บนหิ้งพระ อยู่ในเขตบ้านเรือนของตนเอง
สิริพัฒนมงคล วิบูลย์พูน ผล เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ลาภยศ สรรเสริญ สุข ปฏิภาณ ธนสมบัติ แก่ตัวของท่านเองและครอบครัว
          พระพุทธรูปปางปางไสยาสน์ เป็นพระพุทธรูปปางนอนตะแคงโดยวางมือขวาวางทับบนแขนหรือ ประคองศีรษะและมือซ้าย
วางทอไปตามตัว เท้าซ้ายเท้าขวาอยู่เสมอกัน และหลับตา ซึ่งในขณะที่พรุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลับตานี้ พระองค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้  มีสติสัมปชัญญะ และตั้งมนสิการเข้าสมาบัติ โดยมีทรงสง่างาม มีพระกิริยาการ ดุจพระยาสิงโต
          พระพุทธรูปปางปางไสยาสน์นี้ ตามตำนานเก่าแก่ที่เกจิอาจารย์โบร่ำโบราณได้บรรยายไว้ว่า เป็น พระปางที่ พระองค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระชนมายุสังขาร ย่าง สู่วัยชราภาพและใกล้เสด็จดับขันธ ปรินิพพานอย่างมากแล้ว
          ประวัติของพระพุทธรูปปางปางไสยาสน์นี้มาจากหลัก การ ออกผนวช แล้ได้ ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจ ต่าง ๆ นา ๆ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์กิริยา หาสัจจความจริง โปรสัตว์ เผยแพร่หลักธรรมคำสอน โดยรวมแล้ว ได้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้  45 พรรษา และได้เสด็จดับขันปรินิพพานซึ่ง ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6เดือน วิสาขมาส ก่อนพุทธศักราช 1 ซึ่งในปัจจุบันได้กลายมาเป็นวันวิสาขะบูชา
ณ สถานที่ ภายใต้ควงไม้รัง เมือง กุสินาราประเทศอินเดีย ฉนั้นพระปางนี้จึงได้ขนานนามออกว่า “พระปางไสยาสน์” หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ “พระนอน”นั่นเอง 
          ผู้ใดเกิดวันอังคาร โบราณกาลท่านว่ามีกำลังเท่ากับ 8 ให้สวดภาวนาคาถาต่อไปนี้ให้ได้ 8 จบก่อนนอน  และคาถานี้ยังสามารถภาวนาใช้ป้องกันศัตรูผู้คิดผิดคิดร้ายต่อเราได้ดีนักแล

บูชาพระพุทธรูปปางห้ามญาติ
          วัสสานุภาวะโต ยักขา เนวะ ทัสเสนติ ภิงสะนัง
          ยัมหิ เจานุยุญชันโต รัตตินทิวาะ มะตันทิโต
          สุขัง สุปะติ สุตโต จะ ปาปัง กิญจิ นะ ปัสสะติ
          เอวะมาทิคุณู เปตัง ปะริตตันตัม ภะามะ เห

 
 

4.  ท่านที่เกิดวันพุธ (กลางวัน)

 
 

          หากท่านใดที่เกิดในวันพุธ(กลางวัน) ต้องการเสริมบารมีเสริมโชคลาภ ในชีวิตของตน โบราณท่านว่าให้ท่านที่ในเกิด
วันพุธ (กลางวัน) นี้ ควรบูชาพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร และมีไว้สักการบูชา ภายในเขตบ้านเขตบ้านเรือนของตนเอง เพื่อธนสารณสมบัติ  ความเป็นสิริพัฒนมงคล ลาภยศ สารเสริญ  วิบูลย์พูลผล   เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข  ปฏิภาณกับตนและครอบครัวแล
          พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรนี้  เกจิอาจารย์โบร่ำโบราณได้กล่าวคำบรรยายไว้ว่าเป็นพระพุทธรูป ที่อยู่ในลักษณยืนและมือทั้งสอง
ข้างประคองบาตรอยู่ โดยสันพระบาทจะชิดกัน ซึ่งจะแสดงถึงพระอิริยาบถ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จออกบิณฑบาต
ไปโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งพระองค์ได้ทำเป็น เป็นพุทธกรณียกิจทุก ๆ วัน เป็นเวลา 45 พรรษา โดยมิได้ขาดเลยแม้แต่สักครั้งเดียว
          พระอุ้มบาตรนี้  เกจิอาจารย์โบร่ำโบราณท่านได้บรรยายไว้ว่า มีตำนาน ได้แก่ สมัยองค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์อีกสองหนึ่งรูป ได้เสด็จออกบิณฑบาต โปรดเวไนยสัตว์ ณ นครกบิลพัสดุ์ ตามคำเชิญของอำมาตรกาฬุทายีผู้ซึ่งอำมาตย์ในวัง ในขณะนั้งเองทระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นเหล่าพระประยูรญาติ ของตนแสดงทิฐิ มานะ ไม่ได้มีความเคารพสักการะพระองค์พระสงค์ที่เป็นพระสาวกแม้แต่น้อย  องสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้แสดงปากฺหาริย์ให้ เกิดฝนโบกขรพรรษตกลงมาท่วมยังกลางเหล่ากลางประยูรญาติ และมี มีพระเจ้าสุทโธทนะซึ่งเป็นพุทธบิดา และเหล่าวประยูรญาติอีกหลานคนได้ คลายทิฐิมานะลง หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แสดงปฐมเทศนา ในเรื่องพระเวสสันดรชาดก เพราะเหตุเช่นนี้ พระปางนี้ จึงได้ขนานนามว่า “พระปางอุ้มบาตร”
          ผู้ใดเกิดวันพุธ โบราณกาลท่านว่ามีกำลังเท่ากับ 17 ให้สวดภาวนาคาถาต่อไปนี้ให้ได้ 17 จบก่อนนอน  และคาถานี้ยังสามารถภาวนาเมตตามหานิยม ทำการทำงานค้าขาย แสาะได้ดีนักแล แสวงหาโชคลาภได้ดีนัดแล

บูชาพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร
          สัพพาสี วิสะชาดีนัง ทิพะมันตาคะทัง วิยะ
          ยันนาเสติ วิสัง โฆรัง เสสัญจาปิ ปะริสสะยัง
          อาณักเขตตัมหิ สัพพัตถะ สัพพะทา สัพพะปาณินัง
          สัพพะโสปิ นิวาเรติ ปะริตตันตัม ภะณามะ เห.

  
 
 

5.ท่านที่เกิดวันพุธ (กลางคืน)

 
 

          หากท่านใดที่เกิดในวันพุธ (กลางคืน) ต้องการเสริมบารมีเสริมโชคลาภ ในชีวิตของตน โบราณท่านว่า ให้ท่านที่ในเกิดวันพุธ (กลางคืน) นี้ ควรบูชาพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ และมีไว้สักการบูชา ภายในเขตบ้านเขตบ้านเรือนของตนอง  ท่านจะเกิดลาภยศ สรรเสริญ นำมาซึ่งข้าวของเงินทองทั้งหลายแก่ตนและครอบครัวของท่านดีนักแล
          พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ลักษณะขของปางนี้ จะเป็นรูปองค์พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเข้าขณะนั่ง ประทับนั่งบัลลังก์
หย่อนพระบาททั้งสองลงมาเหยียบบนพื้น แขนทั้งสองวางบนพระ เข่าหงายมือขวา เป็นกิริยาอาการรับหม้อน้ำจากข้างป่าเลไลยก์
ซึ่งเป็นช้างอยู่ในป่าแต่คอยออกมาคอยคุ้มครองพระองค์ มือซ้ายคว่ำลงแสดงอาการกิริยาไม่รับรวงผึ้งจากลิง เนื่องจากรวงผึ้งจากลิงนั้นมีแมลงผึ้ง สัตว์มีชีวิตมากมาย โดยลิงตัวนี้ชื่อ “พระยามกฎวานร” จนท้ายสุดแล้วลิงต้องเอากลับไป แล้วเก็บแมลงผึ้งและตัวลูกอ่อนตัวผึ้งทุกตัวออกหมดก่อนจึงนำมาถวายใหม่อีกครั้ง                             
          พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์นี้ เกจิอาจารย์โบร่ำโบราณของไทยท่านเล่าว่า เป็นปางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จหลีกหนีออกมาจากพระสงฆ์สาวก ในเมืองโกสัมพี ที่กำลังเกิดเกิดทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสห้ามถึง 3 ครั้งแต่ก็ไม่มีใครยอมเชื่อฟัง จึงเสด็จหนีออกมาไปจำพรรษา อยู่ที่ในป่ารักขิด และในวันนั้นเอง ณ ในป่านั้น มีพระยาช้าง มีบริวารมากมาย ซึ่ง รู้ภาษาพูดคุยของมนุษย์ ทราบความเป็นไปท้งหมด จึงได้บอกบริวารของตนนั้นว่า ห้ามมิให้พระสงฆ์หรือสาวกของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกรุงโกสัมพีเข้าไปรบกวนพระองค์อย่างเด็ดขาด และช้างเชือกนี้ก็คอยปรนนิบัติ พระองค์ทุกอย่างด้วยความจงรักภักดีอยาตลอดเลา และเวลาก็ผ่านไปจนความทราบถึงชาวเมืองโกสัมพีว่าสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จไปอยู่จำพรรษาในป่าแค้วนโกสัมพีเสียแล้ว เหตุเพราะพระสงฆ์ฝ่ายพระวินัยธรกับพระธรรมกถึก ได้เกิดเหตุข้องใจกันทะเลาะวิวาทกันชาวเมืองเมื่อไม่ได้เข้าเฝ้า แต่ก็ไม่เห็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเคยก็พากันโกรธแคนเป็นอย่างมาก จึงประกาศออกมาว่าจะไม่ยอมถวายอาหารบิณฑบาต แก่พระสงฆ์เหล่านั้น ๆ แม้แต่น้อย ส่งผลให้ต่างมีอาการซูบผอมอิดโรย ด้วยการอดอยาก ไปทางไหนก็ไม่มีชาวบ้านแสดงความคารวะอย่างเคยที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ด้วย จนทำให้ต้องทรมานกายอดอยากอยู่เช่นนั้นตลอดพรรษา
          อย่างไรก็ตามแต่ ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับจำพรรษาอยู่ในป่าแห่งกรุงโกสัมพีนั้น ก็ได้มีช้างที่ชื่อว่า พระยาปาลิไลยกกุญชร คอยอาอกเอาใจปรนนิบัติทั้งอาหารและผลหมากรากไม้นานาชนิด แม้คนก็ยังไม่สามารถทำได้เสมอช้างตัวนี้ อยู่มาวันหนึ่งมีลิงตัวหนึ่งนามว่า “พระยามกฎวานร” เห็นช้างคอยปรนนิบัติพระพุทธเจ้าเช่นนั้น ก็อยากจะกระทำบ้าง แลเห็นรวงผึ้งมีแมลงอยู่จึงเก็บออกตัวอ่อนแมลงต่าง ๆ หมดแล้ว นำมาถวายใหม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงรับประเคน พระยาลิงตัวนี้รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง กระโดดโลดเต้น วิ่ง เกาะกิ่งไม้ ต้นโน้น ต้นโน้น ด้วยรื่นเริงใจ แต่ทว่าบังเอิญถึงคราวเคราะห์ ลิงตัวนี้เผลอไปคว้ากิ่งไม้ที่ผุ กิ่งหนึ่งแล้วกิ่งไม้ก็หัดจนลิงตกลงมาถึงความตาย แต่ด้วยอานิสงค์ที่ได้ถวายรังผึ้งแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ลิงตัวนั้นไปเกิดเป็นเทวดาในชั้นสวรรค์ดาวดึงค์ ส่วนฝ่ายพระยาช้างนั้นเมื่อถึงคราวออกพรรษา ปวารณา แล้วก็ตาม พญาช้างก็ยังคอยติดตามปรนนิบัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ขาดตกบกพร่อง จนกระทั่งวันนึงพระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาเชิญเสด็จพระองค์เข้าสู่ในเมืองโกสัมพี พอพระยาช้างรู้เช่นนั้นจึงอยกจะตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วยแต่พอมาถึงชายป่า           องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสกับพญายช้างว่า “พระยาช้าง ต่อแต่นี้ไปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ถึงจะอยู่ด้วยกัน หรือถวายการปรณนิบัตรอย่างไร มรรคผลนิพพานก็ไม่เกิดขึ้นแก่ช้างได้หรอก ขอให้พญาช้างจงอยู่ในป่าต่อไปเถิด” พอระยาช้างได้สดับฟังอานนท์กล่าวดังนั้น จึงกลั้นลมหายใจตาย ณ  ที่นั้นเองและได้ไปเกิดจุติเป็นเทวดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และด้วยเหตุนี้เอง พระพุทธรูปปางนี้จึงได้ขนานนามว่า “พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์
          ผู้ที่เกิดวันวันพุธ (กลางคืน) เกจิอาจารย์โบราณท่านว่า มีกำลัง 12 ดังผู้เกิดวันนี้จะต้องสวดคาถานี้ 12 จบก่อนเข้านอน และคาถานี้ยังสามารถใช้ภาวนาก่อนเข้านอน เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ร้ายที่จะมาถึงตัว เมื่อมีโหรทำนายว่าจะมีพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก โดยบทคาถาจะมีดังต่อไปนี้

คาถาบูชาพระปางเลไลยก์
          กินนุ สันตะระมาโน วะ    ราหุ สุริยัง ปะบุญจะสิ
          สังวิคคะรูโป อาคัมมะ                     กินนุภีโต วะ ติฏฐะสีติ
          สัตตะธา เม ผะเล มุทธา                  ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
          พุทธะคาถาภิคีโตมหิ                      โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ

          กินนุ สันตะระมาโน วะ    ราหุ จันทัง ปะบุญจะสิ
          สังวิคคะรูโป อาคัมมะ                     กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
          สัตตะธา เม ผะเล มุทธา                  ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
          พุทธะคาถาภิคีโตมหิ                      โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ

 

6.คนเกิดวันพฤหัสบดี

 

          หากท่านใดที่เกิดในวันพฤหัสบดี ต้องการเสริมบารมีเสริมโชคลาภ ในชีวิตของตน โบราณท่านว่า ให้ท่านที่ในเกิดวันพฤหัสบดีนี้ ควรบูชาพระพุทธรูปปางสมาธิ และมีไว้สักการบูชา ภายในเขตบ้านเขตบ้านเรือนของตนอง  เพื่อให้เกิดความ อยู่อย่างเย็นเป็นสุขสวัสดี วิบูลย์พูลผล ต่อครอบครัวและตนเอง
            พระพุทธรูปปางสมาธินี้  เกจิอาจารย์โบร่ำโบราณได้กล่าวคำบรรยายไว้ว่ามีลักษณะ วางพระหัตถ์หรือมือทั้งสองไว้บนพระเพลา
หรือตักโดยจะเอามือขวาช้อนมือซ้าย และพระบาทหรือเท้า ข้างขวาทับบาทซ้ายไว้ พระปางนี้มีตำนานสืบต่อกันมาจากเกจิอาจารย์
ต่อ ๆ กันมาว่า ว่าในยุคสมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะ กุมาร (ลุก) ราชโอรสแห่งศากยวงศ์ โดยมีบิดาคือพระเจ้าสุทโธทันนะ และมีมารดา
ชื่อพระนางสิริมายา ขณะที่ตอนเกิดนั้น ได้มีพรามทำนายว่า หากเป็นกษัตร์จะได้กษัตริ์ที่ยิ่งใหญ่ในโลก แต่หาเป็นสมณชีพราม ก็จะเป็นที่เลื่อมใสในโลก ด้วยเหตนี้เอง จึงทำให้พระเจ้าสุทโธทันนะซึ่งอยากให้เจ้าชายสิทธัตถะ ได้เป็นกษัตริย์ จึงได้สร้างปราสาทสามฤดูใว้ให้ แต่แล้ววันนึง เจ้าชายทรงเบื่อหน่ายการครองราชย์ทรัพย์สมบัตร์ เบื่อการครองเรือน เจ้าชายสิทธัตถะจึงได้ทรงม้า มีนามว่าม้ากัณฐกะ เป็นม้าคู่พระทัยและเสด็จหนีออกไปผนวช เวลากลางคืน โดยการตัดพระเกศาด้วยพระขรรค์ที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมาทรงอธิษฐานถือเพศบรรพชิตแล้วแสวงหาโมกขธรรมเพื่อความหลุดพ้นกระทั่ง หันมาบำเพ็ญเพียรทำทุกกรกิริยาทรมานสังขารอยู่ถึง 6 ปี เต็มในและในที่สุดได้บำเพ็ญภาวนาถือทางสายกลางภายใต้ ต้นไม้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์ ณ ตำบลพุทธคยาแขวงมคธได้ และก็ได้ บรรลุญาณ ขั้น 1 ขั้น 2
ขั้น 3 และ ขั้น 4ตามลำดับจึงทำให้เจ้าชายสิตธัตถะตรัสรู้ รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวพระองค์เอง แล้ได้พระนามว่า“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
ส่วนญาณดังกลว่าที่เจ้าชายสิตธัตถะได้บรรลุนั้นประกอบด้วย
1) ปุพเพนิวาสาบุสสติญาณ (ญาณที่ทำให้เจ้าชายสิตธัตถะสามารถ ระลึกชาติก่อน ๆได้)
2) จุดูปปาตญาณ(ญาณที่ทำให้เจ้าชายสิตธัตถะสามารถรับรู้การเกิดและการตายได้)
3) อาสวักขยญาณ(ญาณที่ทำให้เจ้าชายสิตธัตถะสามารถ จัดการทำให้หมดเครื่อง ผูกพันได้ ตัดขาดได้
4) จตุราริยสัจ(ญาณที่ทำให้เจ้าชายสิตธัตถะสามารถ รู้แจ้งเห็นธรรมอันประเสริฐทั้งสี่ประการ)
ทุกข์     คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจนตนเอง
สมุทัย   คือ ต้นเหตของการทำใหเกิดความทุกข์
นิโรธ    คือ หนทางที่จะนำไปสู่การ ดับทุกข์
มรรค    คือ หนทางที่จะนำไปสู่การ พ้นทุกข์ ทั้งปวง
และด้วยเหตุเหล่านี้ พระพุทธรูปปางนี้จึงได้ถูกขนานนามขึ้นมาว่า“พระพุทธรูปปางสมาธิ”
          ผู้ที่เกิดในวันพฤหัสบดี เกจิอาจารย์โบราณกาลท่านกล่าว มีกำลัง 19 ดังผู้เกิดวันนี้จะต้องสวดคาถานี้ 19 จบก่อนเข้านอน และคาถานี้ยังสามารถใช้ภาวนาก่อนการเดินทางไกล เพื่อป้องกันศัตรูเข้ามาปองร้าย โดยบทคาถาจะมีดังต่อไปนี้

คาถาบูชาพระปางสมาธิ
ปูเรนตัมโพธิสัมภา เรนิพพัตตัง โมระโยนิยัง
เยนะ สังวิหิตารักขัง มะหาสัตตัง วะเนจะรา
จิรัสสัง วายะมันตาปิ เนวะ สักขิงสุ คัณหิตุง
พรัหมะมันตันติ อักขาตังปะริตตัน ตัมภะณามะเห.

 

7.วันศุกร์

 

          หากท่านใดที่เกิดในวันวันศุกร์ ต้องการเสริมบารมีเสริมโชคลาภ ในชีวิตของตน โบราณท่านว่า ให้ท่านที่เกิดในวันศุกร์นี้ ควรบูชาพระพุทธรูปปางรำพึง และมีไว้สักการบูชา ภายในเขตบ้านเขตบ้านเรือนของตนเอง  เพื่อให้เกิดความ เป็นศรีเป็นสง่า เกิดพลัง อายุ วรรณะ สุขะ พละ ที่ดี แก่ตนเองและครอบครัว
          พระพุทธรูปปางสมาธินี้  เกจิอาจารย์โบร่ำโบราณได้กล่าวคำบรรยายไว้ว่ามีลักษณะเป็นท่ายืน ยืนวางมือทาบไว้บน อกใช้มือขวาทับบนมือซ้ายพระบาททั้งสองประทับยืนตรงเพ่งพระเนตรไปเบื้องหน้า เพียงจุดเดียว ตำนานของพระปรางนี้ เกจิอาจารย์โบราณท่านพรรณนากล่าวไว้ว่า เมื่อองค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ของ ได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเองเองโดยชอบ และรู้แจ้งเห็นจริงแล้วนั้น ในครั้งแรกองค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินเพื่อไปเปลี่ยนพระอิริยาบถ พักผ่อน ณ สถานที่ ภายใต้ร่มไม้อชปาลนิโครธ องค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าทรงรำพึงธรรมที่พระองค์ได้รู้แจ้งเห็นจริงนั้นว่า เป็นธรรมที่ ดี สุขุม ลึกซึ้ง ปานใด ยากที่ใคร ๆจะเข้าใจตามองค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ได้หรือไม่ประการใด หากใคร่จะเสด็จออกไปโปรดเทศนาสั่งสอนชาวโลกนั้นจะเป็น
อย่างไร และแล้วองค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าก็ได้ความคิดขึ้นมาว่า คนเรานั้นมีอยู่ 4 ชนิด เปรียบเหมือนดอกบัว 4 เหล่า คือ
1. พวกที่อยู่เหนือน้ำ       บุคคลพวกนี้จะมีสติปัญญาดีสามารถเข้าใจหลักธรรมได้โดยง่าย
2. พวกที่อยู่เสมอน้ำ        บุคคลพวกนี้แนะนำเพียงเล็กน้อยก็จะสามารถเข้าในในหลักธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าได้
3. พวกที่อยู่ในน้ำ           บุคคลพวกนี้ต้องเคี่ยวเข็ญ แนะนำให้มากจึงเข้าใจหลักธรรมได้
4. พวกที่อยู่ติดเปือกตม   บุคคลพวกนี้เป็นพวกโง่ ไม่สามารถทำอะไรได้เลย จึงจะแนะนำไปแล้วก็ไม่เกิดผลดีประการใด

          หลังจากที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าได้นึกคิดตรึกตรองดีแล้ว แล้วก็นึกถึง 2 ดาบสถ คืออุททกดาบสกับอาฬารดาบส (อาจารย์ ที่เคยสอนองค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ในตอนที่ยังเป็นเจ้าชายสิตธัตถะที่ยังไม่ได้ตรัสรู้) องค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าคิดจะไปโปรดแต่ทรงทราบจากญาณแล้วว่า ทั้ง2ดาบสได้ ตายไปก่อนเสียแล้ว หลังจากนั้นก็ได้จึงรำพึงถึงพระปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 คนที่เคยมาปรนนิบัติพระองค์สมัยบำเพ็ญทุกขกิริยาคือ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะพระภัททิยะ พระมหานามะและพระอัสสซิ ซึ่งขณะนี้ได้อาศัยกันอยู่ที่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในแคว้นพาราณสี เมื่อทราบดังนี้แล้วองค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จไปเทศนา
เรื่องธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งนับว่าเป็นปฐมเทศนา ครั้งแรกของ องค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้า และด้วยเหตุผลเหล่านี้นานัปการ ดังนั้นพระปางนี้จึงได้ถูกขนานพระนามว่าพระ ปางรำพึง
           ผู้ที่เกิดในวันศุกร์ เกจิอาจารย์โบราณกาลท่านกล่าว มีกำลัง 21 ดังผู้เกิดวันศุกร์นี้จะต้องสวดคาถานี้ 21 จบก่อนเข้านอน และคาถานี้ยังสามารถใช้ภาวนาก่อนการเดินป่าเดินดง เพื่อป้องกันศัตรู ภูตผีปีศาจเข้าทำร้าย ดีนักแล โดยบทคาถาจะมีดังต่อไปนี้

คาถาบูชาพระปางรำพึง

          อัปปะสันเนหิ นาถัสสะ      สาสเน สาธุสัมมะเต
          อะมะนุสเสหิ จัณเฑหิ        สะทากิพพิ สการิกิ
          ปะริสานัญจะ ตัสสันนะ      มะหิงสายะ จะ คุตติยา
          ยันเทเสสิ มะหาวีโร           ปะริตตัน ต้มภะณามะ เห

 

8. วันเสาร์

 

         หากท่านใดที่เกิดในวันวันเสาร์ และต้องการเสริมบารมีเสริมโชคลาภ ในชีวิตของตน โบราณท่านว่า ให้ท่านที่ในเกิดวันวันเสาร์นี้ ควรบูชาพระพุทธรูปปางนาคปรก และมีพระพุทธรูปปางนาคปรกไว้สักการบูชา ภายในเขตบ้านเขตบ้านเรือนของตนอง  เพื่อให้เกิดความ สิริมงคล มิ่งขวัญอันดีงาม อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งจะเกิดผลแก่ตนเองและครอบครัว
         พระพุทธรูปปางนาคปรก นี้ เกจิอาจารย์โบร่ำโบราณได้กล่าวคำบรรยายไว้ว่ามีลักษณะเป็นท่า นั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์หรือมือขวาขวาซ้อนพระหัตถ์ซ้ายหรือมือซ้าย และมือทั้งสองวางหงายฝ่ามืออยู่บนพระเพลา และบริเวณเบื้องหลังมีพระยานาค 7 เศียร กำลังแผ่กำบังอยู่ เหนือพระเศียรขององค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ซึ้งในเวลาเดียวกันนี้ องค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าก็ได้ประทับนั่งบนขนดของนาคราชแทนพระบัลลังก์
         ตำนานของพระพุทธรูปปางนาคปรก ตามที่เหล่า เกจิอาจารย์พรรณนาไว้ มีอยู่ว่า ในสมัยที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้อริยสัจสี่ ซึ่งเป็นธรรมอันประเสริฐ 4 ประการ แล้วทรงประทับอยู่ซึ่งกำลังเสวยวิมุตติสุข (เป็นอาการมีความสุข ที่ได้จากการหลุดพ้น จากกิเลส) ณ สถานที่ต่าง ๆ ถึง 7แห่ง แห่งละ 7 วัน และมีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นมุจจลินทร์ (ต้นจิก) โดยขณะนั้นองค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ก็ได้เข้าณานอยู่ตลอดเวลา แต่มนขณะนั้นเอง ก็เกิดพายุฝนตกหนัก มาก ฝ่ายพระยานาคราชที่กำลังอาศัยอยู่ในสระมุจจิลินทร์ขณะนั้น ได้มีความคิดว่า องค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้า จะหนาวและเปียกได้  พญษนาคราชจึงได้ขึ้นมาขดลำตัวให้เป็นบัลลังก์สำหรับนั่น แล้วแผ่เศียรเป็นพังพานแยกเป็น7เศียรปกคลุมพระเศียรขององค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าไว้โดยไม่ให้
พระวรกายขององค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าถูกแม้แต่ละอองฝนแม้แต่น้อยจนครบ 7 วัน กระทั่งฝนหยุดตก ดังนั้น พระปรางนี้จึงถูกขนานนามว่า “พระปางนาคปรก”
          ผู้ที่เกิดในวันเสาร์ เกจิอาจารย์โบราณกาลท่านกล่าว มีกำลัง 10 ดังผู้เกิดวันศุกร์นี้จะต้องสวดคาถานี้ 10 จบก่อนเข้านอน และคาถานี้ยังคาถานี้ท่านโบราณจารย์ยังบอกว่า เป็นพระคาถาของ พระองคุลิมาล ที่ใช้สำหรับการเสกน้ำให้สตรีมีครรภ์ดื่ม ดื่มแล้วจะคลอดบุตรง่ายศักดิ์สิทธิ์นักแล โดยบทคาถาจะมีดังต่อไปนี้

คาถาบูชาพระปางนาคปรก
“ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะฯ”

          *** จากที่กล่าวถึง พระประจำวันมานี้ ถึงแม้ว่าแม้แต่ท่านผู้มิได้เกิดตามวันดังกล่าว ท่านสามารถจะใช้คาถาเหล่านี้ภาวนาก่อนเข้านอนก็ได้ เกจิอาจารย์ท่านว่าก็สามารถช่วยป้องกันภัยอันตราย ที่จะบังเกิดแก่ตนแก่ครอบครัว และคนรอบข้างที่รัก ได้เช่นกัน  โดยเฉพาะท่านผู้เกิดตามวันดังกล่าวนั้น ท่านก็คควรอย่างยิ่งที่จะท่องบทสวดมนต์คาถาเหล่านี้ ไว้  เราชาวพุทธไม่ควรประมาท  ควรภาวนาก่อนเข้านอนทุก ๆ วัน การทำดีก็เป็นกิจที่เราควรกระทำ หากว่าท่านผู้ใดถือขลัง ยืดมั่น จะเกิดลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ปฏิภาณ ธนาร สมบัติ มากกว่าคนทั้งมวลศักดิ์สิทธิยิ่งนักแล ***

พลังเงา, พลังสะท้อน, พลังเงาสะท้อน, พลังอายตนะ, ค่าพลังสะท้อน, ค่าพลังเงา, อายตนะ6, พลังดาวพระเคราะห์, พลังดาว, หลักทักษา

 
 
Untitled Document
     
   
   0974162619  
อ.ธราลิณ กัลชยารพล
เบอร์โทร097-416-2619
E-mail dudung987@gmail.com


Copyright (C) 2009 by Do-Doung.com
ออกแบบเว็บไซต์และโปรโมทเว็บ โดย Modern-design.in.th